Organic CTR คืออะไร แบบไหนเรียกว่าดี ดูวิธีเพิ่ม Organic CTR ให้พุ่งกระฉูด

Organic CTR 

ในการทำ Digital Marketing มีสิ่งที่เรียกว่า “ตัวชี้วัด (Metrics)” มากมายหลายอย่างที่ใช้ในการวัดผลลัพธ์หรือประสิทธิภาพการทำการตลาด แต่สำหรับสายทำ SEO หรือเน้นการทำ Performance ของเว็บไซต์ Yenped จะขอแนะนำให้รู้จักกับเมตริกตัวหนึ่งที่สำคัญกับพวกเรามากๆ นั่นคือ “Organic CTR” 

มาดูกันนะว่า Organic CTR คืออะไร ทำไมคนทำเว็บไซต์และ SEO ต้องรู้จักเมตริกตัวนี้ให้มากขึ้น พร้อมทั้งบอกด้วยว่าเราจะเพิ่ม Organic CTR ได้ยังไง (ขอบอกเลยว่ารวมมาให้แล้วเป็น 10 วิธี) ดังนั้น ห้ามพลาดที่จะอ่านบทความนี้เลย

Organic CTR คืออะไร

ก่อนที่จะไปเรื่อง Organic CTR ทุกคนเข้าใจเรื่อง CTR กันหรือยัง? 

ถ้าคำตอบคือ ‘ยัง’ แมวส้มขอปูพื้นฐานเกี่ยวกับคำนี้สักนิด  CTR หรือ Click Through Rate คือ อัตราการคลิกต่อจำนวนการมองเห็น สูตรการคำนวณคือ Impression / Click = CTR

ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ เมื่อคุณทำการยิง Search Ads บน Google หรือทำ SEO เมื่อผลลัพธ์ที่คุณทำขึ้นไปปรากฏบน SERP (ผลลัพธ์การค้นหาบน Google) แล้วมีคนเห็นผลลัพธ์นั้นจะถูกคิดเป็นเมตริกที่เรียกว่า Impression (การมองเห็น) แต่ถ้ามีคนกระทำการคลิกด้วยก็จะทำให้เกิดเมตริกเป็นยอด Click ด้วย หลังจากนั้นเราจะเอาค่า Impression มาหาร ยอด Click เพื่อหา CTR นั่นเอง

สมมติว่า มีคนทำการค้นหาคำว่า Pbn คือ แล้วเลื่อนลงมาเจอหน้าเพจที่แมวส้มเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยมีคนเห็นอยู่ 1,000 คน แต่มีคนคลิกเข้าลิงก์จริงๆ อยู่ที่ 100 คน เท่ากับเกิดเป็น CTR อยู่ที่ 10%

ที่มาภาพ: www.semrush.com

เข้าใจคำว่า CTR กันไปแล้ว คราวนี้มาดูกันต่อว่า Organic CTR  คืออะไร

Organic click-through-rate หรือ Organic CTR คือ ผลลัพธ์ CTR ที่เกิดจากการค้นหาบน Search Engine แบบธรรมชาติ (ไม่นับรวม CTR ที่มาจากการยิง Ads) หรือก็คือ CTR ที่เกิดจากการทำ SEO และส่วนใหญ่ผลลัพธ์จะดีหรือไม่มักขึ้นอยู่กับการจัดอันดับบนหน้า Google ด้วยว่าคุณอยู่ที่อันดับเท่าไหร่ เพราะอันดับที่ดีก็จะทำให้มี Organic CTR  ที่สูงขึ้นได้ด้วย

ทำไม Organic CTR จึงเป็นผลลัพธ์ที่สำคัญ

สาเหตุที่ทำให้ Organic CTR เป็นเมตริกที่สำคัญ จะมีอยู่ 2 เหตุผลด้วยกัน คือ

  • การมี Organic CTR ที่สูงจะทำให้มี Traffic เข้าเว็บไซต์มากขึ้น

ยิ่งถ้าคุณทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ได้ดีจะมีส่วนช่วยเรียกยอด Traffic เข้ามายังเว็บไซต์เพิ่มขึ้นได้ 

เนื่องจากการติดอันดับบน Google ช่วยเพิ่มการมองเห็นให้คนเจอเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น และถ้าคุณปรับปรุง On-Page SEO ได้ดี คนที่มองเห็นเว็บไซต์ของคุณก็จะมีโอกาสคลิกเข้ามาดูเนื้อหาเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

  • Organic CTR เป็นเมตริกที่ระบุถึงความน่าสนใจของเนื้อหาที่คุณทำ

Organic CTR เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการทำ SEO เพราะมันสามารถบ่งบอกถึงความน่าสนใจของเนื้อหาที่ปรากฏบนหน้า SERP โดยถ้า Organic CTR สูง แสดงว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์มีความน่าสนใจและเหมาะสมกับคำค้นหาของผู้ใช้ เนื่องจากสามารถจับ Search Intent ของผู้ใช้งานได้แบบอยู่หมัด และแน่นอนว่าจะสามารถเพิ่มโอกาสในการทำการขายได้จากสาเหตุนี้ด้วย

CTR แบบไหนถึงดีต่อการทำ Organic Search

ถ้าจะวัดว่า ควรได้ Organic CTR เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าดี ต้องบอกว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการอุตสาหกรรมที่คุณกำลังทำอยู่ด้วยว่า ใช้ Keyword แบบใด มี Search Intent แบบไหน แต่โดยเฉลี่ยแล้วเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะทำ Organic CTR เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3-5% (อ้างอิงข้อมูลจาก Databox) แต่ถ้าคุณทำอันดับได้สูงจนติดอันดับท็อป 3 ยังไง Organic CTR ของคุณก็มีโอกาสที่จะมี % เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

แนะนำ 10 วิธีเพิ่มยอด Organic CTR ให้กับเว็บไซต์

สำหรับใครที่รู้สึกว่าทำเว็บไซต์มาแล้ว Organic CTR ยังต่ำ ต้องการเพิ่มยอด Organic CTR ให้มากยิ่งขึ้น วันนี้แมวส้มรวบรวมวิธีที่จะช่วยกระตุ้นให้ยอด Organic CTR พุ่งกระฉูดแบบฉุดไม่อยู่มาฝากกันแล้วถึง 10 วิธี ดังนี้

1. ทำ Keyword Research 

การทำ Keyword Research เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้คุณติดอันดับบน Google และยังช่วยเจาะจงกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณได้ด้วย เช่น เว็บไซต์แมวส้มของเราเป็นเว็บไซต์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำ SEO แน่นอนว่า Keyword ที่เราเลือกจะต้องเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับ SEO ทั้งหมด เพื่อให้ Google มองว่าเรามีความน่าเชื่อถือในเรื่องนี้ และจัดอันดับเว็บไซต์ของแมวส้มขึ้นอันดับต้นๆ ในคีย์เวิร์ดกลุ่มนี้ตามที่ต้องการ และได้กลุ่มคนที่แมวส้มต้องการเข้ามายังเว็บไซต์

แต่ถ้าวันหนึ่งแมวส้มเกิดอยากเขียนเรื่อง แมว ลงเว็บไซต์ขึ้นมา ซึ่งเป็น Keyword ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเดิมเลย โอกาสที่จะติดอันดับก็จะยาก แถมคนที่เข้ามาจาก Keyword นี้ยังไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่แมวส้มต้องการอีกด้วย ดังนั้น ถ้าอยากเพิ่ม Organic CTR ก็อย่าลืมทำ Keyword Research โดยดูจาก 3 เรื่องนี้เป็นหลัก ดังนี้

  • เป็นคีย์เวิร์ดที่มีคนใช้งานประมาณหนึ่ง 
  • เป็นคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ทำ
  • เป็นคีย์เวิร์ดที่สามารถทำการแข่งขันได้

2. เขียน Title Tag ที่น่าสนใจ

ในการเขียน Title Tag ควรใช้คำที่สะดุดตาและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ มี Keyword ที่ใช้ในหน้านั้นๆ รวมถึงมีความยาวที่ไม่โดน Google ตัดตก (ลองใช้เครื่องมือนี้ในการตรวจสอบดู >> https://www.highervisibility.com/seo/tools/serp-snippet-optimizer/old/)

ส่วนเทคนิคการเขียนนั้น แมวส้มจะขอมอบเทคนิคเด็ดๆ ที่ใช้บ่อยๆ ให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่น 

• ใช้วงเล็บ : HubSpot ทำการศึกษาโดยพบว่าการเขียน Title Tag ที่มีวงเล็บจะมีจำนวนคลิกเพิ่มขึ้นเกือบ 40%

3. เขียน Meta Description ให้ดีต่อ SEO

Meta Description คือ คำอธิบายหน้าเว็บไซต์ที่อยู่ใต้ Title Tag ซึ่งวิธีการเขียนคำอธิบายนี้ให้ดีก็ควรที่จะเขียนไม่ให้ยาวเกินจนโดนตัดตก (ประมาณ 150-170 ตัวอักษร) มี Keyword ที่ใช้อยู่ในหน้าเพจนั้นๆ และควรที่จะเขียนให้น่าสนใจ เช่น เน้นการใช้คำที่ชวนให้รู้สึกว่าไม่ควรพลาด (อย่าช้า ห้ามพลาด),  หากรู้แล้วว่าผู้อ่านต้องการอะไร หรือมีปัญหาอะไร ให้เขียนเพื่อบอกว่าหน้าเว็บไซต์นี้จะให้อะไรกับพวกเขา เป็นต้น

4. ใช้ Rich Snippets, Sitelinks และ Featured Snippets ช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิกของผู้ใช้

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับฟีเจอร์ทั้ง 3 ตัวนี้จาก Google กันก่อนว่าคืออะไร และทำไมต้องทำให้ติดในฟีเจอร์เหล่านี้ด้วยจึงจะช่วยเพิ่ม Organic CTR โดยเริ่มต้นกันเลยที่…

  • Rich Snippets คือ อันดับ 0 หรือ Zero Position บนหน้าผลลัพธ์การค้นหา เกิดจากการที่ Google คัดเลือกเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลได้ตรงกับสิ่งที่คนทำการค้นหามากที่สุด ส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบการ์ดข้อมูล การตอบคำถามหรืออื่นๆ 
  • Sitelinks คือ ฟีเจอร์ของ Google ที่ทำให้ลิงก์ภายในเว็บไซต์ปรากฏขึ้นมาใต้ Title และ Description และสามารถนำพาคนที่คลิกลิงก์เหล่านี้ไปยังหน้าที่ต้องการได้ทันที
  • Featured Snippets คือ ฟีเจอร์ของ Google ที่จะดึงเอาตัวอย่างข้อมูลหรือพวกประโยคสำคัญๆ มาแสดงผลให้ดูในหลายรูปแบบ เช่น ขั้นตอน บอกนิยาม ตาราง รายการ ฯลฯ ทำให้เว็บไซต์นั้นดูน่าคลิกและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

ซึ่งการที่เราทำหน้าเว็บไซต์ให้ติดบนฟีเจอร์เหล่านี้ที่ทำให้ผลลัพธ์การค้นหาดูพิเศษและน่าสนใจมากขึ้น ย่อมส่งผลให้คนอยากที่จะคลิกเข้ามาดูเนื้อหาตัวเต็มในเว็บไซต์มากขึ้น ทำให้ Organic CTR เพิ่มสูงตามมาด้วยนั่นเอง

5. ใช้ Heading Tags อย่างถูกต้อง เพื่อเพิ่มความชัดเจนของเนื้อหา

Heading Tags คือ สิ่งที่เว็บไซต์ใช้เพื่อกำหนดหัวข้อต่างๆ ของหน้าเพจว่าอะไรคือหัวข้อหลัก หัวข้อรอง เพื่อให้ Google มองเห็นโครงสร้างของหน้านั้นๆ ได้มากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลต่อการทำ SEO ด้วยเช่นเดียวกันถ้าหากเรียงไม่ถูกต้อง ซึ่งวิธีการเรียง Heading Tags ที่ดี จะเรียงจากหัวข้อใหญ่อย่าง H1 ไปหา H2 H3 H4,… ไปเรื่อยๆ ตามลำดับความสำคัญ ไม่ควรเขียนกระโดดไปมา และ H1 จะมีได้เพียงอันเดียวเท่านั้น ดังโครงสร้างตามภาพด้านล่าง

6. ทำหัวข้อและเนื้อหาให้ตรงกับ Search Intent ของผู้คน

ก่อนที่จะทำการเขียนเนื้อหาออกมา ควรทำการศึกษาก่อนว่า Keyword ที่ใช้คนค้นหาเพื่ออะไร เช่น เพื่อหาความรู้, เพื่อหาวิธี, เพื่อซื้อ ฯลฯ เพราะ Keyword นั้นมี Search Intent ที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น

  • Keyword ประเภท Naviganional ที่คนค้นหาเพื่อนำทางไปหาอะไรบางอย่าง เช่น คนค้นหาคำว่า Subaru Wedsite แสดงว่า เขาต้องการที่จะไปยังเว็บไซต์ดังกล่าว หากทำเนื้อหาบทความก็ควรที่จะเกี่ยวข้องและนำทางพาไปยังเว็บไซต์ดังกล่าว
  • Keyword ประเภท Informational ที่คนค้นหาเพื่อรับรู้ข้อมูล เช่น คนค้นหาคำว่า What’s a good car? คอนเทนต์ที่ออกมาก็ควรที่จะให้ข้อมูลและตอบคำถามนี้ที่คนค้นหา
  • Keyword ประเภท Commercial Inveestigation ที่คนค้นหาเพื่อการเปรียบเทียบหรือตัดสินใจ เช่น Subaru VS Nissan แสดงว่าคนกำลังเปรียบเทียบรถ 2 แบบนี้ คอนเทนต์ก็ควรออกมาในเชิ่งเปรียบเทียบตามที่คนอยากรู้

Keyword ประเภท Transactional ที่คนค้นหาเพื่อต้องการซื้อขาย เช่น Buy Subaru Forester แสดงว่าคนต้องการที่จะซื้อรถรุ่นนี้ คอนเทนต์ก็ควรที่จะเป็นหน้าซื้อขายสินค้ารถรุ่นนี้

7. เพิ่มภาพและวิดีโอ

การเพิ่มภาพหรือวิดีโอลงไปในหน้าเว็บไซต์ นอกจากจะช่วยทำให้หน้านั้นๆ ดูน่าสนใจและมีเนื้อหาที่ครอบคลุมมากขึ้นแล้ว ยังเป็นที่ถูกอกถูกใจของ Google อีกด้วย เพราะ Google ชอบหน้าเว็บไซต์ที่มี Media หลากหลาย แต่ทั้งนี้ ก็ควรที่จะรู้จักการ Optimize ให้ภาพและวิดีโอเหล่านี้มีโอกาสทำอันดับบน Google เพิ่มขึ้นด้วย นั่นคือ การใส่ ALT ให้กับภาพเพิ่มเติมนั่นเอง

8. ทำการ Optimize รูปภาพ

หากคุณใช้รูปภาพที่มีขนาดใหญ่ ย่อมส่งผลให้เว็บไซต์โหลดช้า แน่นอนว่ากระทบกับ User Experience เพราะคงไม่มีใครอยากรอใช้งานเว็บไซต์นานๆ ดังนั้น ทางที่ดีควรที่จะเพิ่มความเร็วในการโหลดให้เว็บไซต์ด้วยปรับขนาดภาพให้เหมาะสม เช่น เปลี่ยนสกุลไฟล์ภาพจาก .Jpeg, .png เป็น .webp เป็นต้น (ลองทำความเข้าใจเรื่อง Page Speed ของเว็บไซต์เพิ่มเติมและวิธีการปรับให้เว็บไซต์เร็วขึ้นได้ที่ Page Speed คืออะไร แนะนำวิธีปรับ Page Speed ให้เร็วขึ้นแบบติดเทอร์โบ!)

9. ทำ Internal Link ในหน้าเว็บไซต์

การสร้าง Internal Link จะช่วยให้ผู้ใช้ได้เข้าถึงหน้าอื่นๆ ของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ Google มองเห็นความเชื่อมโยงของหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วย ส่วนวิธีการทำ Internal Link ที่ดีจะมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน ดังนี้

  • เขียนให้ทุกหน้ามี Internal Link เชื่อมไปยังบทความอื่น
  • เขียนคำเกริ่นที่ชวนให้อยากคลิกลิงก์มากขึ้น เช่น อธิบายว่าลิงก์นี้จะนำพาไปสู่เนื้อหาแบบไหน
  • ทำ Internal Link ให้เด่นชัด เช่น ทำเป็นปุ่มกด หรือทำตัวหนังสือให้มีสี เพื่อที่คนจะได้รู้ว่าสามารถคลิกลิงก์ได้
  • ควรทำลิงก์ที่คลิกไปแบบ Same window หรือเปิดในหน้าต่างเดียวกัน ไม่ต้องกดเป็น New Tab
  • ใช้คำที่เกี่ยวข้องของ Keyword หลัก มาเขียนเป็น Link text
  • อย่าใช้  Internal Link ใน Keyword เดียวกันพาไปหลายๆ หน้า
  • คำที่เป็น Focus Keyword ในหน้านั้นๆ ไม่ควรทำ Internal Link ใส่

10. ปรับแต่ง URL

แนะนำให้ทำ URL Friendly ให้กับเว็บไซต์ ด้วยการทำให้ URL สั้นกระชับและสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน รวมถึงควรมีคำ Keyword ที่ใช้อยู่ใน URL ด้วย

สรุป

Organic CTR เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการทำ SEO เพราะเป็นเมตริกที่ช่วยบ่งบอกถึงความน่าสนใจของเนื้อหาบนเว็บไซต์ และช่วยเพิ่มโอกาสในการทำการขายได้ ดังนั้น หากต้องการเพิ่ม Organic CTR ต้องปรับปรุงเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ เช่น ปรับแต่ง URL, รูปภาพ, คำอธิบาย ฯลฯ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ให้ได้มากที่สุด

แต่ถ้าหากว่าใครกำลังมองหาบริษัทรับทำ SEO อยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง แนะนำให้ปรึกษาได้เลยครับ ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

Picture of 9IDea

9IDea

9iDea ผู้หลงไหลในการทดสอบการทำ SEO จนเป็นนิสัย แถมยังเป็นผู้ชอบเล่าเรื่องเกี่ยวกับเรื่องการทำ SEO และย่อมาให้อ่านกันแบบง่าย ๆ