Dwell
เมื่อพูดถึงเมตริก (Metrics) ที่หลายคนมักใช้ในการวัดผลลัพธ์ของเว็บไซต์หรือ SEO มักเป็นข้อมูลพื้นฐานเช่น ข้อมูลประชากร ซึ่งมักจะใช้ตอบคำถามเช่น ใครกำลังดูเว็บไซต์ พวกเขาอยู่ที่ไหน พวกเขาสนใจอะไร ฯลฯ หรือในเชิงลึกแบบเฉพาะจุดอีกหน่อยก็อาจจะดูเป็น Organic CTR, Bounce Rate ฯลฯ แต่ก็ต้องเข้าใจก่อนว่าแต่ละเมตริกนั้นใช้ดูเพื่ออะไร เพราะอะไรบ้าง
บทความนี้ Maewsom เลยจะพามาเจาะลึกอีกหนึ่งเมตริกสำคัญเช่นเคย และคิดว่าเป็นตัวชี้วัดที่คนทำเว็บไซต์และควรรู้ นั่นคือ “Dwell Time” ว่าแต่เมตริกนี้คืออะไร ใช้วัดอะไร และจะ Optimize ยังไงให้ดีขึ้น ลองตามไปอ่านสิ่งที่แมวส้มสรุปมาให้
Dwell Time คืออะไร
Dwell Time คือ เมตริกหนึ่งที่ใช้วัดเวลาที่ผู้ใช้งานอยู่บนหน้าเว็บไซต์หลังจากที่ทำการคลิกหน้าเว็บไซต์ใดเข้ามา ทำการอ่านเนื้อหาที่อยู่ในเว็บไซต์ ไปจนถึงเวลาสิ้นสุดจากการกดออกไปยังหน้าผลการค้นหา (SERP) เดิมอีกครั้ง
จะเห็นว่าเมตริกทั้ง 3 ตัวเป็นเมตริกที่ใช้วัด Engagement ของผู้ใช้ แต่ส่วนของ Bounce Rate และ Time on Page จะแตกต่างกับ Dwell Time อยู่ตรงที่ไม่ได้ระบุเพิ่มได้ว่าผู้ใช้ได้ทำการ Back กลับไปหน้า SERP หรือไม่ด้วย
Dwell Time สำคัญอย่างไรต่อการทำเว็บไซต์
ในเมื่อ Dwell Time เป็นเมตริกหนึ่งที่ใช้สำหรับวัดผลลัพธ์ด้านการมีส่วนร่วมของผู้คนที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์ จึงเป็นส่วนที่ช่วยบอกเจ้าของเว็บไซต์ได้ว่า เนื้อหาในหน้าเว็บไซต์นั้นมีความน่าสนใจและมีคุณค่าสำหรับผู้ใช้งานหรือไม่ รวมถึงหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์มีความเชื่อมโยงถึงกันมากพอที่จะนำพาคนที่เข้ามาไปยังหน้าอื่นๆ มากพอหรือเปล่า หรือเมื่อค้นหาจากช่องทางการ Search เข้ามาแล้วทำการกดกลับไปค้นหาเว็บไซต์อื่นต่อเลยในทันที
ค่าเฉลี่ยของ Dwell Time ควรอยู่ที่เท่าไหร่
ค่าเฉลี่ยของ Dwell Time จะขึ้นอยู่กับแต่ละประเภทของเว็บไซต์และเนื้อหา โดยปกติแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 30 วินาที หรือในค่าเฉลี่ยที่ดีคือ 2-4 นาที เพราะผู้ใช้จะสามารถอ่านหรือเรียนรู้เนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ได้ในระยะเวลานี้ ซึ่งใครที่ทำ SEO แล้วอยู่ในอันดับสูงๆ และยังทำเนื้อหาได้ดี Dwell Time ก็จะยิ่งมีระยะเวลาที่นานมาก แต่ถ้าคุณทำ SEO จนติดอันดับแล้วแต่ Dwell Time กลับต่ำสวนทางกับอันดับ แสดงว่าเนื้อหา ดีไซน์ หรือประสบการณ์บางอย่างบนเว็บไซต์อาจจะยังไม่ดีเท่าที่ควร
จะปรับปรุงค่า Dwell Time ได้อย่างไรบ้าง
ในหัวข้อนี้จะเป็นวิธีเพิ่มเวลาพักและทำให้ผู้เยี่ยมชมหน้าเว็บของคุณนานขึ้น ซึ่งช่วยทำให้ค่า Dwell Time ของเว็บไซต์เพิ่มขึ้นอีกด้วย
ทำเว็บไซต์ให้ตรงกับ Search Intent ของผู้คน
การปรับปรุง Dwell Time จะต้องใช้กลยุทธ์การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและมีคุณค่าต่อผู้ใช้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่า Search Intent หรือ เจตนาของผู้ใช้ว่าพวกเขาทำการค้นหาเรื่องนั้นๆ เพื่ออะไร ดังนั้น การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตรงกับสิ่งที่เขาค้นหาจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าพวกเขาเข้ามายังเว็บไซต์แล้วไม่เจอในสิ่งที่พวกเขากำลังมองหา ก็อาจจะกดออกจากเว็บไซต์เรากลับไปยังหน้า SERP แล้วเข้าไปในเว็บไซต์อื่นต่ออยู่ดี
ซึ่ง Search Intent ของผู้ใช้งานจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลักๆ ที่คุณจะต้องเลือกใช้ให้ตรงกับหน้าต่างๆ ของเว็บไซต์ ได้แก่
- Informational Search Intent คือ กลุ่มที่ต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง เช่น SEO คืออะไร, เว็บไซต์คืออะไร ฯลฯ ซึ่งหน้าเว็บไซต์ที่ควรให้คำตอบเหล่านี้มักจะเป็นหน้าบทความเป็นหลัก
- Navigational Search Intent คือ กลุ่มที่ต้องการค้นหาหน้าใดหน้าหนึ่ง เช่น เข้า Google Search Console, ล็อกอินเข้า Facebook ฯลฯ หน้าที่ควรทำให้ขึ้นในหน้า Google ก็ควรที่จะเป็นหน้าล็อกอินเข้าระบบเว็บไซต์
- Commerical Search Intent คือ กลุ่มที่ต้องการค้นหาบางอย่างเพื่อตัดสินใจซื้อ เช่น รีวิวอ่างน้ำ, ไอโฟน 12 VS ไอโฟน 13 เป็นต้น ในหน้านี้จึงควรมีเนื้อหาในเชิงการให้ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบที่เห็นภาพชัด
- Transactional Search Intent คือ กลุ่มที่ต้องการค้นหาบางอย่างเพื่อการซื้อ เช่น ซื้ออาหารสุนัข ฯลฯ หน้านี้จึงควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและสามารถทำการซื้อขายได้
ทำคอนเทนต์ที่ยาวขึ้นและดีขึ้นกว่าเดิม
หากคุณต้องการให้คนใช้เวลาอยู่ในเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น การทำคอนเทนต์แบบ Long-Form หรือคอนเทนต์ที่มีความยาวดูเหมือนจะมีส่วนช่วยทำให้คนใช้เวลาอยู่ในเว็บไซต์นานมากขึ้น แต่วิธีการเขียนบทความ Long-Form ก็ไม่ควรเน้นเขียนแค่ให้คอนเทนต์ดูยาวเฉยๆ แต่ควรที่จะวางแผนการเขียนให้สามารถตอบโจทย์ของผู้อ่านได้ทั้งในเรื่องของความรู้ รวมถึงการเขียนให้ถูกหลักการของ SEO ถ้าต้องการรู้ว่าคอนเทนต์ SEO เขียนยังไง สามารถอ่านวิธีการแบบเต็มๆ ได้เลยที่ บทความ SEO คืออะไร ดูวิธีเขียนบทความ SEO แบบละเอียดตามหลักการทำ On-Page
ให้ความสำคัญกับ User Experience
Google ชอบเว็บไซต์ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (User Experience) ดังนั้น จึงควรพิจารณาทำเว็บไซต์ทั้งในหน้า On-Page SEO และในด้าน Page Speed ของเว็บไซต์ โดยแมวส้มจะขอยกตัวอย่างการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ที่ดีต่อ User Experience เพื่อเป็นแนวทางสำหรับทุกคน ดังนี้
- การจัดวางคอนเทนต์ให้กวาดสายตาอ่านได้ โดยการจัดเนื้อหาให้มีหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย รวมถึงเขียนในแต่ละย่อหน้าสั้นๆ ไม่เขียนติดกันเยอะๆ โดยอาจจะแบ่งเหลือสักย่อหน้าละ 5 บรรทัด เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านแบบออนไลน์
- เวลาในการโหลดหน้าเว็บไซต์ที่ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาหลักของหน้าเว็บโหลดภายใน 2.5 วินาทีหรือน้อยกว่า
- ตรวจสอบว่าสามารถใช้งานได้จากทุกเบราว์เซอร์ เช่น Safari, Firefox, Chrome และ Opera
- สร้างเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในทุกอุปกรณ์ เช่น โทรศัพท์ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์
- Navigation ของเว็บไซต์ควรใช้งานง่าย และทำให้ User เข้าใจว่าควรใช้งานเว็บไซต์อย่างไรบ้าง
สรุป
Dwell Time เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญต่อการทำเว็บไซต์ เนื่องจาก Dwell Time เป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้ใช้พึงพอใจกับเนื้อหาของคุณหรือไม่ คุณสามารถปรับปรุง Dwell Time ได้โดยการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและมีคุณค่าต่อผู้ใช้จากการวิเคราะห์ Search Intent และการปรับปรุง User Experience ของเว็บไซต์
ดังนั้น คุณจึงต้องใช้เวลาและความพยายามเพื่อสร้างเนื้อหาที่ดีและมีคุณค่าต่อผู้ใช้ เพื่อที่จะได้รับความนิยมใน Google และ Search Engine อื่นๆ ได้เป็นอย่างดี
แต่ถ้าหากว่าใครกำลังมองหาบริษัทรับทำ SEO อยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง แนะนำให้ปรึกษาได้เลยครับ ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย